สวัสดีครับทุกคน!
ผมขอแนะนำให้รู้จักกับซีรีส์บทความใหม่เกี่ยวกับการซื้อขาย Binary Options ซีรีส์นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับ ซีรีส์ MT4 ดังนั้นหากคุณไม่เคยดูซีรีส์นั้นมาก่อน เราขอแนะนำให้ลองไปดูก่อน สิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ในซีรีส์นี้จะมีความสำคัญอย่างมาก
ในซีรีส์นี้คุณจะได้พบกับคำอธิบายเกี่ยวกับกลยุทธ์ต่าง ๆ ซึ่งจะมีความซับซ้อนขึ้นกว่าการดูตัวชี้วัดเล็กน้อย 🙂
ในส่วนแรกเราจะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นพื้นฐานมากที่สุด นั่นก็คือเทรนด์ไลน์
เทรนด์ (trends) คืออะไร?
ตัวอย่างเทรนด์ขาขึ้น (คลิกเพื่อขยายรูป)
มีเทรนด์อยู่สองประเภท ซึ่งก็คือเมื่อราคากำลังขึ้น (เทรนด์ขาขึ้น) และเมื่อราคากำลังลง (เทรนด์ขาลง) เทรนด์ขาขึ้นคือเหตุการณ์เมื่อราคาช่วงก่อนหน้า (เช่น 40 แท่งก่อน) กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และถ้าหากมีราคาตก ก็จะตกเพียงเล็กน้อยและจะเริ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เทรนด์ขาลงตรงมีความหมายข้ามกันเลย ก็คือราคาจะตกลงอย่างรวดเร็ว
เทรนด์เป็นตัวที่บอกเราว่าราคาในระยะยาวจะขึ้นหรือลง แต่บางครั้งราคาก็อาจจะไม่มีเทรนด์เลยก็ได้ = ราคาหยุดนิ่ง แปลว่าราคาในช่วงเวลาล่าสุดก็มีขึ้นบ้างแล้วก็มีลงบ้างด้วยเช่นเดียวกัน ราคาไม่ได้ขึ้นสูงขึ้นมากนัก ผมอธิบายได้เข้าใจไหมครับ 🙂
วิธีใช้ประโยชน์และคาดการณ์จากเทรนด์เป็นสิ่งที่จะซับซ้อนขึ้นมานิดหน่อย เรามีตัวเลือกอยู่สองทาง: ราคาจะเป็นไปตามเทรนด์ต่อไป หรือจะสิ้นสุดที่ขีดจำกัดหนึ่ง ๆ จากนั้นก็จะพลิกกลับและไปในทิศทางตรงข้าม
การลากเทรนด์ไลน์
การลากเทรนด์ไลน์เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ชัดที่สุด มันจะช่วยเราในการคาดการณ์การพลิกกลับของเทรนด์เมื่อ (ถ้า) ราคาถึงจุด ๆ หนึ่ง มาเรียนรู้วิธีการลากเทรนด์ไลน์ด้วยกันเถอะครับ
การลากเทรนด์ไลน์สำหรับแนวโน้มขาขึ้น
ตัวอย่างของการลากเทรนด์ไลน์ (คลิกเพื่อขยายรูป)
- เราจะพิจารณาว่าเทรนด์นั้นเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ (ใช้หลักตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น)
- ในกราฟเราจะพบตำแหน่งที่อยู่ต่ำที่สุดในช่วงเวลาล่าสุด (A)
- เราตำแหน่งเข้ากับจุดที่ตกลงต่ำที่สุดในกราฟ (B)
- จากนั้นลากเส้นเชื่อมกัน
เส้นนี้มีประโยชน์อย่างไร?
เราจะเห็นว่าทุกครั้งที่ราคาแตะเส้นของเรา มันจะเด้งกลับไป เมื่อใช้เส้นนี้เราจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าถ้าหากมีราคาแตะเส้นของเรา มันมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถเลือกเทรดแบบคอล (CALL) กับโบรกเกอร์ของเราได้
การลากเทรนด์ไลน์สำหรับแนวโน้มขาลง
การลากเทรนด์ไลน์สำหรับเทรนด์ขาลงนั้นใช้หลักการเดียวกัน ข้อแตกต่างเดียวก็คือทำทุกอย่างตรงกันข้ามกัน
ตัวอย่างการลากเทรนด์ไลน์ (ตลิกเพื่อขยายรูป)
- เราพิจารณาว่าเทรนด์เป็นแบบขาลงหรือไม่ (ใช้หลักการตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น)
- ในกราฟเราจะพบว่าตำแหน่งไหนอยู่สูงสุดในช่วงล่าสุด
- เราเชื่อมตำแหน่งนี้เข้ากับจุดที่ใกล้ที่สุดกับราคาสูงสุดในช่วงที่พลิกกลับ
- จากนั้นลากเส้นเชื่อม
เราทำแบบนี้กันไปทำไมนะ?
เราจะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่ราคาแตะเส้นของเรา มันจะเด้งกลับไปและเริ่มตกลงอีก เมื่อใช้เส้นนี้เราจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าถ้าหากมีราคาแตะเส้นของเรา มันมีแนวโน้มที่จะลดลง ทำให้เราสามารถเลือกเทรดแบบพุท (PUT) กับโบรกเกอร์ของเราได้
บทเรียนทั้งหมดของวันนี้มีเพียงเท่านี้ ผมหวังว่าสิ่งที่ผมสอนคงจะเป็นประโยชน์กับคุณ และในตอนถัดไปเราจะพูดถึง inner trend และ outer trend ซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน
หากคุณชอบบทความนี้ ผมจะดีใจมากหากคุณบอกให้ผมรู้ในช่องความคิดเห็น